คู่ปรับคู่ปราบ
ครั้งแรกที่พระ-นางเจอกันก็กลายเป็นห้องนอน!! หากพระเอกวิ่งไปหานางเอกถึงห้องนอนก็คงไม่แปลก แต่เป็นเธอต่างหากที่หลุดเข้าไปในห้องนอนของเขา ซึ่งเธอนั้นไม่ตั้งใจสักนิด แต่เขากลับตั้งใจรวบหัวรวบหางเธอไว้...
ผู้เข้าชมรวม
802
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทนำ
เสียงเพลงแผ่วหวานดังไปทั่วบริเวณที่จัดงานวิวาห์หรู ทายาทเจ้าสัวใหญ่จากทางภาคใต้เจ้าของนามสกุลพิทักษ์ทัศนะ ที่มีทั้งเหมืองแร่และสวนผลไม้นับพันไร่ อีกทั้งยังเป็นคนดังที่คนทั้งจังหวัดให้ความเคารพนับหน้าถือตา จึงมีแขกเหรื่อในงานมากันมากล้นจนเต็มพื้นที่จัดงานในโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดแห่งนี้
เลอสรวงและเลอสรรค์ พิทักษ์ทัศนะ ลูกชายคนโตและลูกชายคนรองดูจะเป็นจุดขายของงานเลยทีเดียว เมื่อทั้งคู่หน้าตาดีระดับเทพและยังมีคุณสมบัติเพียบพร้อมตามแบบฉบับที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝัน งานนี้ลูกท่านหลานเธอต่างไม่ยอมแพ้ซึ่งกันและกันเลย และแม้ว่าเลอสรวงจะมีคู่หมั้นไปแล้ว แต่สาวๆ หลายคนก็ยังไม่ละความพยายาม
ร่างระหงในชุดราตรีสีปูนแห้งที่เดินออกไปทางประตูด้านหลังของงานเลี้ยงที่เป็นสวนหย่อมนั้นเรียกความสนใจให้กับร่างสูงทันที นั่นเพราะเขาจับจ้องเธอตั้งแต่เดินเข้างานมาพร้อมกับคู่หมั้นของเขา กีรณา อมรรัตน์ ...ดวงตาคมหันไปมองคู่หมั้นของเขาเพียงครู่เดียวเพื่อจะเห็นว่าเธอยังคุยติดพันอยู่กับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในขณะที่ว่าที่พ่อตาแม่ยายเขานั้นก็จับกลุ่มคุยกับท่านผู้ว่าและคุณหญิงคุณนายอย่างออกรส
เอาล่ะ! เป็นอันว่าทางสะดวก...ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อสาวเท้าไปยังทิศทางเดียวกันกับที่เจ้าของความสนใจของเขาเพิ่งเดินออกไป
“งานเลี้ยงไม่สนุกเหรอ?” เขาถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาหยุดด้านหลังเธอ ในขณะที่เธอกำลังกอดอกและมองนิ่งๆ ไปที่สวนดอกไม้เบื้องหน้า
“คุณไกร!” เธออุทานเบาๆ ก่อนที่สายตาจะแลเหลือบไปด้านหลังที่เขาเพิ่งจะเดินออกมาด้วยกลัวว่าใครจะมองเห็นเข้า
“เจอหน้าฉันทีไรทำไมต้องทำท่าลุกลี้ลุกลนทุกทีสินะอิ่ม” เขาเรียกชื่อเล่นของเธอได้อย่างสนิทใจในยามที่อารมณ์ดี และจะเรียกชื่อเต็มเมื่อยามขุ่นมัวเท่านั้น
เพราะเธอเปรียบเสมือนลูกไล่ของเขามาแต่ไหนแต่ไร นับตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตจนป่านนี้ เธอก็ยังหนีไม่พ้นเลอสรวงได้สักที
“อิ่มไม่ควรจะกลัวหรือคะ? ...ถ้าคุณไกรจะอยู่ชมสวน งั้นอิ่มขอตัวนะคะจะกลับเข้าไปข้างใน” เธอบอกเขาเพียงเท่านั้นเพราะไม่อยากต่อความกับคนชอบรังแกและก็เอาแต่ใจ
“เอ๊ะ! ปล่อยอิ่มนะคะคุณไกร” เธออุทานอีกครั้งเมื่อข้อมือถูกรั้งไว้ให้กลับมาเผชิญหน้ากับเขา
“ทำไมชอบหนีหน้าฉันนะอริสา!” นั่น! อารมณ์เริ่มขุ่นมัวแล้วไง
“ก็ถ้าใครมาเห็นเข้าคุณไกรจะเสียชื่อเอาได้นะคะ ลำพังอิ่มไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ...นะคะ ปล่อยอิ่มนะคะ” เธอลงทุนใช้ไม้อ่อนกับเขาเพราะถ้าดึงดัน สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้พ่ายอยู่ดี เชื่อขนมกินได้
“ก็แค่จะบอกว่าวันนี้เธอสวยมาก” เขาบอกเมื่อสบตากลมโตคู่นั้น “แล้วก็...” เขาค้างคำพูดไว้ก่อนจะหมุนตัวไปรอบๆ เพื่อดูว่าทางสะดวกหรือไม่ในขณะที่เธอยังคงงงๆ และกำลังลุ้นอยู่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมา
“แล้วก็...” จู่ๆ ใบหน้าคมก็ฉกวูบลงมาที่แก้มนวลอย่างรวดเร็วที่ทำให้เธอแทบจะกรีดร้องกับความเจ้าเล่ห์ของเขา
“รีบกลับเข้าไปในงานได้แล้วนะ ถ้าไม่อยากถูกปล้ำกลางสวนอย่างนี้” ร่างสูงผละไปหลังจากพูดประโยคนั้นจบพร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดี
“คนบ้า เจ้าเล่ห์ร้ายกาจที่สุด!” เธอได้แต่ค้อนลมค้อนแล้งไปก็เท่านั้น ไอ้คำบริภาษที่จิกว่าเขาไปนั้นหากได้ยินถึงหูคนเจ้าเล่ห์ก็ไม่พ้นถูกรังแกอีกจนได้ เกิดเป็นเธอนั้นมีแต่เสียกับเสียจริงๆ สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้เธอจึงกลับเข้าไปในงานและพยายามอยู่ให้พ้นจากรัศมีเขาเป็นดีที่สุด
“รักแม่นะครับ” ร่างสูงๆ เดินมากอดมารดาอย่างไม่แคร์สายตาแขกเหรื่อรอบๆ งาน นั่นเพราะเขามักจะมีเวลาประจบหรือแสดงความรักกับบิดามารดาได้น้อยเต็มที เพราะเส้นทางชีวิตที่เขาเลือกด้วยตัวเองทำให้ต้องห่างไกลจากครอบครัว
“ไม่ต้องมาประจบแม่เลย หายหน้าหายตาไปนานเลยนะเรา ที่ถ้าน้องเราไม่แต่งงานแม่ก็คงจะไม่เห็นหัว เห็นหน้า เห็นตาพ่อลูกชายคนโปรดล่ะสิ” มารดาแสร้งเหน็บ แต่ยังไงท่านก็รักลูกชายคนนี้อยู่เสมอ ออกจะห่วงมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำเพราะเลอสรรค์ชอบทำงานที่มันเสี่ยงๆ นี่ขนาดมีเส้นใหญ่ยักษ์ของบิดาคอยสั่งการอยู่เบื้องหลังเสมอยามที่ลูกชายจะต้องไปทำงานเสี่ยง แต่ก็ดูเหมือนเลอสรรค์จะชอบแหกกฎเหล็กของบิดาอยู่เสมอๆ
“ว่าไง? ไอ้ลูกชาย” เสียงทักทายจากคนเป็นพ่อพร้อมกับมือที่ตบมาที่ไหล่หนาของเขา ทำให้เขาหันไปยิ้มกว้าง ...ก็เพราะตั้งแต่มาถึงเขาก็วุ่นวายกับการตรวจดูสถานที่ต่างๆ และก็กุลีกุจอช่วยงานอย่างเต็มกำลัง จนแทบไม่ได้คุยกับผู้เป็นพ่อเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ว่าไงครับ ยังรักพ่อกับแม่เหมือนเดิม” เขาบอกแล้วยิ้มกว้าง
“เฮอะๆๆ ให้เชื่อแกฉันก็มีลูกเป็นลิงแล้วน่ะสิ...รักพ่อ คิดถึงแม่ แต่ไม่เคยเยี่ยมหน้ากลับมาบ้านเลยสักที ความจริงแล้วฉันไม่น่าปล่อยให้แกทำตามใจตัวเองได้มากขนาดนี้เลยจริงๆ น่าจะให้ไปช่วยงานพี่แกที่ไร่หรือไม่ก็ที่เหมืองซะให้เข็ด”
“ผมตามเจ้ารบมาช่วยแล้วไงครับ พ่อก็ใช้อำนาจในฐานะพ่อตาสั่งให้มาทำไร่ทำสวนแทนผมไปเลยสิครับ รับรองผมว่ามันยอม” บุคคลที่สามที่เลอสรรค์กล่าวพาดพิงไปถึงก็คือเจ้าบ่าวในค่ำคืนนี้ ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเขาเอง เพื่อนที่มีฐานะและบรรดาศักดิ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยและงานแต่งงานครั้งนี้ก็เหมือนกับเรือล่มในหนองสมคำร่ำลือ เจ้าบ่าวเจ้าสาวเหมาะสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก
...รินสิลี พิทักษ์ทัศนะ กับ ร้อยตำรวจโทนักรบ บดินทร์ก้องเกียรติ ฝ่ายหญิงเป็นลูกสาวเจ้าสัวใหญ่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ฝ่ายเจ้าบ่าวก็เป็นคนมีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคมเมืองกรุง
“ตารบเขาก็มีธุรกิจของเขา น้องเราก็ต้องไปช่วยงานสามี จะไปก้าวก่ายเขาได้ยังไงกัน”
“ผมก็ทำงานให้พ่อ ติดต่อธุรกิจให้นอกเวลาราชการเหมือนกันนะครับ เห็นไหมว่างานที่ต่างประเทศ การเจรจาและสัญญาต่างๆ ผมไม่เคยบกพร่องและผิดพลาดเลย” เขาเอ่ยอ้าง
“แต่สัญญาลูกผู้ชายเรายังเป็นเหมือนเดิมนะเจ้าลูกชาย เมื่อไหร่ที่แกต้องแต่งงานมีครอบครัว แกจะต้องลาออกและมาช่วยงานพ่อเต็มตัว”
“ขอรับเจ้าคุณพ่อ สัญญาของเรายังเหมือนเดิม” เขายิ้มรับคำสัญญานั้นเพราะคิดไว้ในใจว่า ไม่มีวันที่เขาจะยอมแต่งงานแต่งการ เป็นฝั่งเป็นฝากับใครง่ายๆ อยู่แล้ว ในเมื่อทุกวันนี้ทั้งงานพิทักษ์สันติราษฎร์ที่เขารักกับงานติดต่อธุรกิจให้กับบิดา เขาก็แทบไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นๆ อีกอย่าง...เลอสรรค์ไม่ต้องการหาห่วงมาผูกคอ ตราบใดที่เขายังสนุกกับงานที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
งานพิทักษ์สันติราษฎร์นี้เป็นเขาที่เลือกเอง และบิดามารดาก็ตามใจลูกชายคนรองเพราะอย่างน้อยก็มีลูกชายคนโตอย่างเลอสรวงคอยรับช่วงต่อจากกิจการอยู่แล้ว ตอนนี้นายหัวเทพก็ยังทำงานได้อยู่ และยังมีเรี่ยวแรงคอยช่วยลูกชายคนโตอยู่ได้ อีกทั้งการติดต่อกับต่างประเทศที่เป็นคู่ค้านั้นเลอสรรค์ก็จะเป็นคนดำเนินการเองทั้งหมดโดยใช้เวลาว่างหลังจากงานประจำ และวันหยุดพักผ่อนที่เขาควรจะนอนอยู่ที่บ้านนั้นบินปร๋อไปต่างประเทศเพื่อเจรจางานต่างๆ แทนบิดาและพี่ชายอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงยังไม่มีปัญหาใดๆ
คืนนี้เขาค้างที่บ้านใหญ่กับบิดามารดา วันนี้ทุกคนมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจและแขกที่สนิทสนมอย่างญาติฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะได้รับเกียรติให้พักค้างคืนที่บ้านหลังใหญ่แห่งไทพิทักษ์ที่สามารถรับรองคนได้อีกหลายสิบคน กระนั้นจึงทำให้เลอสรรค์ต้องคอยอยู่รับแขกเนื่องในฐานะเจ้าบ้านไปด้วยทำให้เขายังกลับกรุงเทพไม่ได้ในตอนนี้
แสงจันทร์ที่ส่องกระจ่างฟ้าในยามนี้รวมทั้งดาวบนฟากฟ้าที่ส่งแสงระยิบระยับนั้นทำให้เขามองเพลินไปเลยทีเดียว บนความเงียบสงบที่ต่างจากบ้านหลังใหญ่โดยสิ้นเชิง
เรือนไม้สักคู่แฝดที่ปลูกห่างออกมาจากบ้านใหญ่นั้นเป็นเรือนของเขาหลังหนึ่ง และของพี่ชายของเขาอีกหลังหนึ่ง แม้ว่าจะปลูกคู่กันแต่ก็ให้ความเป็นส่วนตัวของกันและกันได้ไม่น้อยทีเดียว คล้ายบ้านเรือนไทยสมัยก่อน มีบันใดเตี้ยๆ ไม่กี่ขั้นให้ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนที่จะมีห้องนอนใหญ่เพียงห้องเดียว ด้านนอกติดกับระเบียงนั้นจะเป็นห้องนั่งเล่นกึ่งๆ ห้องรับแขกไปในตัวโดยมีข้าวของอำนวยความสะดวกครบถ้วน และเพราะเขาและพี่ชายรักความสงบจึงขอบิดาสร้างแยกออกมาเป็นส่วนตัวตามประสาชายโสด แต่กระนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ยังต้องไปฝากท้องที่เรือนใหญ่อยู่เสมอทั้งเช้าและเย็น
“ว่าไงไอ้น้องชาย คิดถึงบ้านล่ะสิ” เสียงทักจากด้านหลังที่เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร
“ก็...ครับ แต่ผมก็ยังสนุกกับงานอยู่ดี พี่คงต้องทนเหงาไปก่อนแล้วกัน ยัยน้องก็ออกเรือนไป ผมก็อยู่กรุงเทพเสียส่วนใหญ่”
ร่างสูงที่สมส่วนไม่ต่างอะไรกับน้องชายเดินมาเคียงข้าง ก่อนจะมองตามสายตาผู้เป็นน้องไปบนฟ้า แล้วก็อมยิ้มน้อยๆ กับตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าช่วงเย็นในงานเลี้ยงนั้นเขาได้เจอกับใครและได้ทำอะไรกับเธอไว้บ้าง แล้วอย่างนี้เขาจะเหงาได้อย่างไรกัน
“แต่พอแกแต่งงานก็ต้องกลับอยู่ดี แข่งกันไหมว่าใครจะแต่งงานก่อนกันระหว่างแกกับฉัน เดิมพันเป็นบ้านของเราทั้งคู่เลยดีไหม?” พี่ชายท้าทายยิ้มๆ
“เรื่องอะไร พี่อย่ามาเจ้าเล่ห์กับผมเหมือนที่พี่แอบไปขโมยจูบสาวกลางสวนที่งานวันนี้เด็ดขาด...”
“เฮ้ย! แกเห็น” เป็นทีของเลอสรรค์ที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้พี่ชายทำนองล้อเลียน
“อย่าคิดว่าจะพ้นสายตาตำรวจอย่างผมไปได้ คนที่เรียนตำรวจเขาย่อมต้องช่างสังเกตพี่ก็รู้”
“ช่างสอด ช่างแส่เรื่องของชาวบ้านต่างหากล่ะ” เลอสรวงว่าด้วยน้ำเสียงติดจะหมั่นไส้
“แต่อริสาไม่ใช่คู่หมั้นของพี่ พี่จะทำยังไงต่อไป” คราวนี้เขาจริงจัง และก็รู้ว่าลองพี่ชายกล้าที่จะทำอย่างนั้น แสดงว่าเพราะมีใจ ไม่ใช่เพราะมีนิสัยเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น ขณะที่คนเป็นพี่ลอบถอนหายใจลึกๆ
“เรื่องนั้นยังไม่รู้ ยังหาทางออกไม่ได้ว่ะ” เขาตอบตามความจริง
“เอาเถอะ ผมเชื่อว่าพี่ผมเก่ง อีกหน่อยก็คงจะหาทางออกได้เอง สู้ๆ นะครับยังไงผมก็อยู่ข้างพี่” เขาตบไหล่พี่ชายเบาๆ ทำนองให้กำลังใจ จริงๆ แล้วทั้งเลอสรรค์และเลอสรวงก็อายุห่างกันแค่สองปีเท่านั้นเอง ต่างจากน้องน้อยที่ชิงออกเรือนไปก่อนพี่ชายทั้งคู่ ที่อายุห่างจากพี่ๆ ถึงห้าปีเต็ม
“ขอบใจ ไอ้น้องชาย” เขาบอกก่อนจะยิ้มน้อยๆ
“แยกย้ายกันไปนอนเถอะครับ พรุ่งนี้มีแขกอีกตั้งเยอะที่รอให้เราต้องคอยดูแลจนกว่าจะส่งกลับกรุงเทพไปทั้งหมด ผมรู้ว่าพี่เหนื่อยไม่แพ้พ่อกับแม่หรอก ผมไม่เหนื่อยเพราะผมเพิ่งจะเดินทางมาทีหลังชาวบ้านเขา” เขาบอกตามจริงเมื่องานในหน้าที่เพิ่งจะเสร็จ
“แกไปเถอะ พี่ขอคิดอะไรอีกสักพัก” น้องชายพยักหน้าอย่างเข้าใจความรู้สึกก่อนจะเดินแยกออกไปเงียบๆ ที่ต่างคนก็ต่างครุ่นคิดในเรื่องเดียวกัน
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ผลงานอื่นๆ ของ พรลภัส ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ พรลภัส
ความคิดเห็น